JK Rowling

พ่อมดน้อยแฮรี่ พ็อตเตอร์ คงไม่ได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างทุกวันนี้ หากไม่มียอดนักเขียนอัจฉริยะ “เจ เค โรว์ลิ่ง” มาถ่ายทอดจินตนาการของเธอออกมาเป็นตัวหนังสือให้อ่านกัน ทว่ากว่าจะมีวันนี้ได้เธอต้องทนอยู่กับความยากจน เผชิญหน้ากับความกดดัน หย่าร้างกับสามีและต้องพยายามเลี้ยงดูลูกของเธอด้วยการเป็นนักเขียนที่ขณะนั้นไม่มีใครรู้จักเธอเลย แต่เมื่อเธอได้ร่ายเวทมนตร์เป็นตัวอักษรลงในหนังสือ ทุกสิ่งในชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อหนังสือได้รับความนิยมและได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ส่งผลให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในโลก

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ เจ.เค.กำลังปลุกปั้นโครงเรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์”  แม่ของเธอก็ล้มป่วยด้วยโรคประจำตัว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นคุณพ่อก็ไปมีภรรยาใหม่  หัวใจ เจ.เค.ในยามนั้นปวดร้าว และช้ำชอกยิ่งนัก

เธอย้ายที่พำนักจากอังกฤษ ไปอยู่โปรตุเกส และที่นั่นเอง ทำให้เจ.เค.พบรักใหม่โดยบังเอิญ ที่ไนท์คลับแห่งหนึ่ง  เธอปึ๊งกับชายหนุ่มนาม “ยอร์จ อารานเตส” นักหนังสือพิมพ์ฝึกงาน อายุอ่อนกว่าเธอ 3 ปี  ซึ่งได้แต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันในเวลาต่อมา 

“ผมรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยมีความเชื่อมั่น ค่อนข้างอ่อนไหว และเปราะบาง อาจถึงขั้นซึมเศร้าหน่อยๆ ด้วยซ้ำ”  ยอร์จ เล่าถึงเจ.เค. เมื่อยามแรกพบกัน

หน้าร้อนปีนั้น ทั้งคู่บินกลับมาท่องเที่ยวพักผ่อนด้วยกันในลอนดอน โจแอนตั้งท้องลูกคนแรก แต่เมื่อกลับไปโปรตุเกส เธอก็แท้งลูก ขณะที่ยอร์จถูกเกณฑ์ทหารกองหนุน  พอมีโอกาสพักหนแรก ยอร์จรีบมาหาโจแอน และขอเธอแต่งงาน ซึ่งเธอก็ตอบรับทันที จากนั้น ทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่ร่วมกันในแฟลตเช่าขนาด 2 ห้องนอน

คู่หนุ่มสาวเข้าพิธีแต่งงานที่จัดแบบทหารในวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 1992 (พ.ศ.2535) ผู้หญิงส่วนมากมักจดจำวันสำคัญนี้ไว้ด้วยอารมณ์อ่อนหวานโรแมนติก  แต่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง หยิบวันนี้ไปใช้เป็นวันแห่งความสะพรึงกลัว และความตาย ในหนังสือ ” แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ นักโทษแห่งอัซคาบัน” !!

ตัวละครในเล่มนั้นคือ ศจ.ทรีลอว์นี่ย์  บอกกับ ลาเวนเดอร์ บราวน์  ว่า ” สิ่งที่เธอหวาดกลัวยิ่งจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม ”  สิ่งนั้นคือ..กระต่ายของลาเวนเดอร์ถูกหมาจิ้งจอกฆ่าตาย..

อย่างไรก็ตาม งานวันแต่งของยอร์จกับโจแอนผ่านไปอย่างสวยงามชื่นมื่น ทั้งเจ้าบ่าว และเจ้าสาวสวมชุดสีดำ และแดง ช่อดอกไม้เจ้าสาวก็เป็นคาร์เนชั่นสีแดงล้วน  หลังเสร็จพิธียังมีงานเลี้ยงมื้อกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์ในหมู่ญาติมิตรราว 30 คน

ดือนต่อมา โจแอนตั้งท้องอีกหน และได้ลูกสาวชื่อ “เจสสิก้า”   จากนั้น ก็ต้องย้ายครัวกลับไปอาศัยบ้านแม่สามีเพื่อให้ช่วยเลี้ยงหลาน เพราะโจแอนต้องออกไปหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ  เนื่องจาก อาชีพนักข่าวอิสระของยอร์จไม่ค่อยมีรายได้มั่นคงนัก 

ถึงตอนนี้ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ยอร์จเล่าว่า ” เราทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะต่างก็ขี้หึง และมีความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน โจแอนไม่ชอบให้ผมพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนเลย ส่วนผม แม้จะรักลูก แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางความสนใจของภรรยาอีกต่อไป เธอทุ่มเททุกอย่างให้แต่กับลูก จนผมรู้สึกโดดเดี่ยว และถูกทอดทิ้ง ลึกๆแล้วผมอาจอิจฉาลูกละมั้ง”

“ความสัมพันธ์ของเราในช่วงนั้นวูบๆวาบๆ บางครั้งก็มีความสุขมาก บางคราวก็โกรธกันแทบตาย โจแอนมักขว้างถ้วยจานใส่ผมเสมอ ผมเองไม่เคยต่อยตีเธอ แต่จะคว้าขอมือหรือแขนเธอบีบไว้แน่นเพื่อให้เธอหยุดขว้างข้าวของ แน่ละ ผมแข็งแรงกว่า  ดังนั้น บางคราวผมจึงบีบแรงจนเธอเจ็บ หรือไม่เธอก็ดิ้นรนต่อสู้จนหัวหูไปกระแทกกำแพง ซึ่งเมือมันผ่านไปแล้วผมก็จะรู้สึกเสียใจ และไปขอโทษเธอ ส่วนเธอก็จะร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ”  ยอร์จกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มร้าวฉาน

หลังใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมาได้ 13 เดือน ก็ถึงจุดแตกหัก ยอร์จบอกว่า..วันนั้น ทั้งคู่ต่างอารมณ์บูด การโต้เถียงเริ่มจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ต่างไม่ลดราวาศอก จนบานปลายเป็นการทะลาะไม่เลิก จนล่วงเข้าตี 4  ในที่สุดโจแอนตะโกนใส่เขาว่า..เธอไม่ได้รักเขาเสียด้วยซ้ำ

ยอร์จโต้ทันควันว่า..ถ้าไม่รักเขาก็ไสหัวออกไปจากบ้านเขาได้เลย เธอไม่ยอมไป  แต่ถ้าจะไป..ต้องเอาลูกไปด้วย    

“ผมจึงบอกให้เธอไปซะแล้วค่อยกลับมารับลูกตอนเช้า เธอสู้กับผมที่เข้าไปลากตัวเธอ มันก็เลยทำให้เธอเจ็บตัว แต่ผมก็ลากเธอไปทิ้งไว้นอกบ้านจนได้ 10 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น เธอกลับมาพร้อมกับเพื่อน 2 คน และตำรวจอีก 3 ผมจึงต้องยอมให้เธอพาลูกไป ผมรู้ว่าเธอไปอาศัยอยู่กับเพื่อนครูด้วยกัน สองวันต่อมาผมจึงโทร.ไปขอโทษ และขอร้องให้เธอกลับมา แต่เธอปฏิเสธ จากนั้นไม่นานเธอก็บินกลับไปหาน้องสาวซึ่งเพิ่งแต่งงานไปอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์กในสกอตแลนด์”

ชีวิตในสกอตแลนด์ช่างโหดร้ายกับเธอนัก  เจ.เค. บอกว่า..เธอเลี้ยงลูกสาวตามลำพังด้วยเช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์   อาศัยอยู่ในแฟลตโลโซ(หนูชุม) ค่าเช่าอาทิตย์ละ 230 ปอนด์ ซึ่งทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน

ไม่น่าเชื่อว่า..ในช่วงชีวิตที่กำลังตกต่ำย่ำแย่เช่นนั้น  เจ.เค.กลับพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการลงมือเขียนนิยายที่ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือเบส์เซลเล่อร์อันลือลั่นสนั่นโลก !

“ถ้าคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าการไม่มีเงินมันเลวร้ายขนาดไหน ความภูมิใจในตัวเองของคุณ (ศักดิ์ศรี) จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง”  เธอกล่าว

จากเด็กสาวช่างฝันผู้สนใจในเรื่องคาถาเวทมนตร์ และแม่มดพ่อมดถูกบีบให้นำประสบการณ์ต่างๆที่เธอพบเจอมาแต่งเป็นหนังสือ  “ฉันไม่ได้มีชีวิตหรูหราเหมือนนักเขียนคนอื่นๆ ดังนั้นฉันเลยเขียนมันด้วยความตึงเครียด(ภายใต้แรงกดดัน)”

มีนาคม 1994 (พ.ศ.2537)  สามเดือนหลังจากที่เธอหอบลูกหนีอดีตสามีกลับมาอยู่อังกฤษ  ยอร์จตัดสินใจตามไปเพื่อเยี่ยมลูก และอดหวังไม่ได้ว่า..จะขอคืนดีกับเธออีกครั้ง

แต่พอโจแอนเปิดประตูมาเห็นหน้าเขาก็รีบปิดประตูปัง ! ใส่หน้าทันที  มิไยที่เขาจะร้องเรียกอยู่เป็นชั่วโมงขอพบลูกสักหน  ยอร์จจึงปีนขึ้นไปตามท่อน้ำ ทุบหน้าต่างห้องน้ำแล้วมุดเข้าไปจูบลูกสาวจนได้

จากนั้น โจแอนจึงต้องขอคำสั่งศาล ห้ามเขาเข้าใกล้เธอ ตามด้วยขอหย่าขาดซึ่งมีผลให้ชีวิตสมรสของทั้งคู่จบสิ้นเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 1995

ระหว่างห้วงเวลานี้เอง ที่โจแอนทุ่มเทเขียนนิยายแฟนตาซีซึ่งนอกจากมุ่งมั่นให้เป็นอาชีพแล้ว มันยังเป็นโลกแห่งจินตนาการที่เธอสามารถหลบเลี่ยงไปจากชีวิตจริงที่ขมขื่น และยากลำบากได้วันละนานๆด้วย

ในปี 1997 หรือ พ.ศ.2540  วรรณกรรม “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์” ตีพิมพ์ครั้งแรก และประสบความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย

ส่งผลให้ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” เล่มต่อๆ มา กลายเป็นหนังสือยอดฮิตไปทั่วโลก  และยังได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 60 ภาษา และขายใน 200 ประเทศทั่วโลก

C :  www. board.postjung.com/638565.html

ใส่ความเห็น